เมื่อเห็นสถิติที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่งบุตรหลานเรียนกวดวิชาอย่างต่ำเดือนละ
3,000 บาทต่อคน สูงสุดถึง 80,000
บาทต่อปี เห็นจำนวนเงินแล้วก็เหนื่อยแทนแล้ว หากครอบครัวที่มีรายได้น้อย
แต่อยากให้ลูกเรียนเก่งล่ะ จะทำอย่างไร?
ไม่ต้องไปถึงแดนกิมจิ
เพราะ ฮันฮีซ็อก (Han Hee-Seok) เจ้าของหนังสือที่บรรจุเคล็ดลับดีๆ
“พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง” นานมีบุ๊คส์นำมาพิมพ์เป็นในฉบับภาษาไทย
ให้เรียนรู้วิธีการง่ายๆ ที่เริ่มจากตัวพ่อแม่มาฝากกัน
ฮันฮีซ็อก
ยอดคุณพ่อคนนี้ มีภรรยา 1 ลูก 3 เขาเป็นนักเขียนนิยายอิสระ มีรายได้ไม่แน่นอน
บางครั้งก็ต้องรับเหมาก่อสร้างงานไม้ งานอิฐ แต่ก็ฮึดสู้
หาวิธีฝึกสอนลูกให้มุ่งมั่นในการเรียนอย่างมีระบบ แบบไม่ต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชา
เพราะไม่มีเงินทำได้จริงมาแล้วในตลอด 10 ปี ที่พยายามเป็น “โค้ชการเรียนของลูก” จนกระทรวงศึกษาธิการเกาหลีมอบรางวัล
“ต้นแบบการฝึกสอนลูกให้เก่งโดยไม่ต้องเรียนกวดวิชา” กับผลลัพธ์ที่ดีเหลือเชื่อ จากลูกสาวที่เคย “เกือบที่โหล่”
กลายเป็น “ที่ 1” ของโรงเรียนติดต่อกันตั้งแต่
ม.3-ม.6
และสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐติด แบบไม่เสียเงินกวดวิชาสักบาท!!!
มาดูเคล็ดไม่ลับของสุดยอดโค้ชคุณพ่อ
ฮันฮีซ็อก
1. ทำตัวกลมกลืนกับลูกๆ
พูดภาษาเดียวกัน กินเหมือนกัน ให้ลูกๆเชื่อใจว่าเป็นพวกเดียวกัน
ฉะนั้นเมื่อเราสอนเราพูดอะไร ลูกๆจะเชื่อฟังเราอย่างดี อีกทั้งเรียนรู้รสนิยม
พฤติกรรม การพูดจาของลูกและเพื่อน ๆ ไว้บ้างเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในครอบครัว
2. พาลูกไปเปิดหูเปิดตา
เข้าชมนิทรรศการหรือกิจกรรมฟรีๆ เช่น งานแสดงภาพวาด นิทรรศการศิลปะต่างๆ ละครเวที
งานแสดงดนตรี ของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มักจะให้เข้าชมฟรี เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ทางศิลปะพัฒนาสมองและจิตใจลูกๆ
ทำให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น
3. ตัดบทความจากหนังสือพิมพ์
เลือกคอลัมน์ที่เหมาะสมกับลูก ผู้เขียนแสดงทัศนะคติชัดเจน เป็นบทความสั้น ๆ
อ่านจบภายใน 5 นาที วันละ 1 บทความ ให้ลูกอ่านเป็นประจำช่วยสร้างมุมมองความคิดใหม่ๆ
เข้าใจเหตุการณ์บนโลกอย่างลึกซึ้ง และสร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุมีผล
4. เมื่อเด็กอ่านบทความจากหนังสือพิมพ์บ่อย
ๆ จะทำให้รู้เรื่องรอบตัวมากขึ้น
คุณพ่อคุณแม่ควรหาเรื่องรอบๆตัวมาอภิปรายร่วมกับลูก เพื่อให้ทราบทัศนคติของลูก
อีกทั้งช่วยสร้างเสริมให้ลูกรู้จักคิดและใช้เหตุผล
5. ให้ลูกๆดูโทรทัศน์ได้
แต่ควรวางแผนอย่างเหมาะสม ควรเลือกให้ดูเฉพาะรายการที่มีประโยชน์ เช่น สารดคี
เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับลูกๆ
6. ควบคุมบรรยากาศภายในบ้าน
เช่น เมื่อใกล้วันสอบ ทุกคนในบ้านงดดูทีวีโดยเด็ดขาด เป็นเวลา 20 วัน ไม่เฉพาะลูกแต่ทั้งพ่อแม่หรือพี่น้องก็ห้ามดูเช่นกัน
จะช่วยให้ลูกมีสมาธิ มีความตั้งใจและความสามัคคีของคนในครอบครัว
ลูกไม่รู้สึกเควงคว้างที่ต้องทำอยู่คนเดียว
7. พ่อแม่หมั่นเข้าร่วมฟังสัมมนาแนะแนวการศึกษาของลูก
เพื่อเก็บข้อมูล และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือลูก ๆ
ในการสอบเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
8. ยืมหนังสือวรรณกรรมจากห้องสมุดให้ลูกอ่าน
การอ่านจะช่วยพัฒนาทักษะทางด้านภาษา การคิดวิเคราะห์ และการจับใจความสำคัญ
ซึ่งถือเป็นพื้นฐานในการเรียน
9. เมื่อลูกทำสิ่งใดได้สำเร็จ
พ่อแม่ต้องรู้จักชมเชยอย่างเหมาะสมและถูกจังหวะ ไม่เน้นจำนวนครั้ง
แต่ใส่ใจทุกคำพูด เลี่ยงการพูดชมแบบเดิมๆเพราะคุณค่าจะลดลง ควรพูดให้กระชับ
อาจใช้มือลูบหัวหรือลูบหลังแทนคำพูดก็ได้ และหาวิธีชมเชยแบบใหม่ๆเสมอ
แต่ห้ามเปรียบเทียบหรือเติมเงื่อนไขในคำชมเชยเด็ดขาด
10. สุดท้ายพ่อแม่อย่าไปเร่งเด็กๆ
ปล่อยให้พวกเขารักษาระดับการวิ่งของตนเองต่อไป
พ่อแม่คอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลืออยู่ข้างๆจะดีกว่า จงจำไว้ว่า “การเรียนคือหน้าที่ของลูก ส่วนหน้าที่ของพ่อแม่คือสนับสนุน”
หนังสือเล่มนี้จะปลุกแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวมีหนทางออกสว่างไสว
แม้ไม่ต้องส่งลูกเรียนกวดวิชาเหมือนใครๆ ก็ยังเรียนเก่งเป็นที่ 1 ได้ ซึ่งเป็นต้นแบบที่ยืนยันได้ว่า “ไม่ต้องกวดวิชาก็เรียนเก่งได้” ด้วยความเอาใจใส่ทุ่มกายทุ่มใจของพ่อแม่